25 ธันวาคม 2551

คำอธิบายรายวิชาปฏิบัติเครื่องลมไม้ 1

การเรียนการสอนเครื่องลมไม้ มุ่งปฏิบัติเครื่องดนตรีให้เต็มขีดความสามารถของผู้เรียนแต่ละคน โดยคำนึงถึงหัวข้อต่อไปนี้
  • ส่วนประกอบของเครื่องดนตรี
  • การหยิบจับเครื่องดนตรี
  • ท่าทาง
  • การดูแลรักษา
  • การหายใจ
  • การวางปาก
  • สำเนียง
  • คุณภาพของเสียง
  • ศิลปะของการเป่า
  • การถ่ายทอดอารมณ์
  • บทฝึกและวรรณกรรมดนตรี
  • ปรัชญาของนักดนตรี
  • การแสดง

11 ธันวาคม 2551

20: ปรัชญาการแสดง

ปรัชญาการแสดง

         การแสดงเป็นเป้าหมายสุดยอดของการเรียนดนตรี จะเป็นการแสดงเพื่อตนเองหรือแสดงในที่สาธารณะก็แล้วแต่ ย่อมจะบ่งถึงความคล่องตัวในการแสดง ซึ่งขึ้นอยู่กับการฝึกที่ผ่านมา

        ในบทนี้จะกล่าวถึงการแสดงดนตรีในที่สาธารณะ ทั้งการบรรเลงเดี่ยวและบรรเลงเป็นวง

     1. การแสดงออกทางดนตรี การแสดงออกทางดนตรีถือเป็นพรสวรรค์อย่างหนึ่ง ซึ่งออกมาจากจิตและวิญญาณ ถึงกระนั้นก็ตาม การแสดงออกทางดนตรียังรวมถึงองค์ประกอบอื่น อีกด้วย เช่น คุณภาพของเสียงที่เป่าออกมา เครื่องหมายทางดนตรี การจากไปของเสียงที่เป่า เสียงระรัว วลี และประโยคเพลง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องอาศัยการฝึกนอกเหนือจากพรสวรรค์

      2. ปรัชญาการแสดง เป็นเรื่องที่จะต้องฝึกและทำความเข้าใจ โดยมีข้อที่ควรคำนึงถึงดังนี้

  •  ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะขอโทษผู้ฟังจากข้อผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น นักแสดงต้องใจกล้าพอที่จะแสดง โดยไม่คำนึงถึงข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น
  •  เสียงทุกเสียงที่เป่าออกมา ต้องมีความหมายทางดนตรีและมีคุณภาพแม้แต่การตั้งเสียง
  •  คิดในทางที่ดีในขณะบรรเลง หลีกเลี่ยงความคิดในทางลบ เช่น ความผิดพลาดอาจจะเกิดขึ้นและในที่สุดก็เกิดขึ้น
  • พยายามเข้าใจหลักธรรมชาติที่ว่า ไม่มีใครจะชอบทุกอย่างที่บรรเลงถือเสียว่าเมื่อไม่ชอบมันไม่ใช่ความผิดของเรา แต่ใช่ว่าถือโอกาสไม่ซ้อมเสียเลย ซ้อมให้ดีที่สุดและบรรเลงให้สุดความสามารถ
  • ความมั่นใจในการบรรเลงมาจากการซ้อมและการเตรียมตัวที่ดี
  • เป้าหมายของการบรรเลงควรดีกว่าการบรรเลงคราวที่แล้ว
  • ไม่ควรทำหน้ายุ่งเมื่อเป่าผิด ให้เป่าผ่านความผิดที่เกิดขึ้น
  • จุดที่ จะต้องใช้ความสามารถพิเศษหรือจุดที่ยาก ควรคำนึงถึงโน้ตก่อนที่จะนึกถึงการถ่ายทอดอารมณ์เพลง อย่างไรก็ตามควรที่จะฝึกให้ชำนาญจนสามารถถ่ายทอดอารมณ์เพลงได้

     3. ถ้าเป็นไปได้ควรบันทึกในการบรรเลงเพื่อที่จะได้ฟังเปรียบเทียบว่าสิ่งที่คิดไว้กับเทปแตกต่างกันอย่างไร

     4. ท่าทางในการแสดง น้ำหนักควรอยู่บนขาทั้งสองข้าง

      5. การโค้งให้เกียรติกระทำอย่างไม่เคอะเขินบนเวทีผู้แสดงย่อมเป็นศิลปิน

     6. ความคล่องตัว และความจัดเจนต่อการแสดงย่อมทำให้มีสิ่งที่จะต้องระวังมากขึ้น แต่ถ้าจะคิดในแง่ดีแล้วไม่มีใครที่จะแสดงทุกอย่างสมบูรณ์ และการแสดงเริ่มเมื่อก้าวแรกที่คุณขึ้นสู่เวที

         อย่างไรก็ตามที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเพียงข้อสังเกตโดยทั่วไปเท่ารั้น ไม่มีอะไรดีไปกว่าประสบการณ์ตรง นักเรียนดนตรีต้องกล้าแสดงและพร้อมเสมอที่จะแสดง ความไม่พร้อมที่จะแสดงเป็นการพลาดโอกาสอันยิ่งใหญ่ในฐานะศิลปิน

19: การฝึกแซกโซโฟน

การฝึกแซกโซโฟน

         เมื่อพูดถึงการฝึกอาจพูดได้ว่าการฝึกเป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจน้อยมากในวงการนักดนตรีของไทยเรา โดยแต่ละคนอาจจะมีเหตุผลต่าง กัน

         เหตุผลที่กล่าวมานั้น เป็นการสร้างลักษณะนิสัยที่ไม่ดีต่อการฝึก ขาดความรู้ความเข้าใจในตัวนักดนตรี เพราะที่จริงแล้วความเป็นเอกมาจากการฝึก นักแซกโซโฟนเอกของโลกยังต้องฝึก ความเก่งของนักแซกโซโฟนเอกเหล่านั้นมาจากการฝึกที่ถูกต้อง

            ปรัชญาของการฝึก ฝึกทำให้ทุกอย่างสมบูรณ์ เพราะการฝึกที่ผิดเป็นเหตุให้ปฏิบัติผิด

         การฝึกคือ การพัฒนาไปสู่ความเก่ง พัฒนาทักษะ กล้ามเนื้อ และพรสวรรค์ทางดนตรีให้เจริญไปในทางที่ถูกต้อง

         การฝึกและการบรรเลงมีจุดประสงค์ที่แตกต่างกัน การบรรเลงนั้นเป็นการแสดงในที่สาธารณชน ข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นไม่อาจจะกลับไปแก้ไขได้ต้องปล่อยให้ผ่านไป และที่สำคัญก็คือการบรรเลงเป็นการอวดวิทยายุทธ์ที่ได้ฝึกมา อวดความสามารถในการบรรเลงที่จะถ่ายทอดอารมณ์ทางดนตรีไปสู่ผู้ฟัง

         ส่วนจุดประสงค์ของการฝึกนั้นเป็นการเรียนรู้ทักษะการควบคุมกล้ามเนื้อที่ใช้ในการเป่าแซกโซโฟน ไม่ว่าจะเป็นริมฝีปาก ระบบการหายใจ นิ้ว สมาธิ ฝึกระบบประสาทให้ตอบสนองต่อดนตรี ฝึกหูให้เคยชินกับเสียงที่ถูกต้อง แก้ไขข้อบกพร่องให้สมบูรณ์

ฝึกที่ไหน

         สถานที่ฝึก ควรเป็นสถานที่ที่สงบสามารถสร้างสมาธิในการฝึกโดยไม่มีสิ่งใดมารบกวนหรือไม่รบกวนบุคคลอื่น ห้องฝึกควรเป็นห้องส่วนบุคคล อากาศถ่ายเทได้สะดวก อุณหภูมิเหมาะสมประมาณ 75F ในห้องควรจะมีกระจกไว้สำหรับตรวจสอบในการวางปากและท่าทางในการเป่า ถ้าเป็นไปได้ควรมีเปียโนสำหรับการบรรเลงประกอบ

ฝึกเมื่อไร

         การฝึกควรปฏิบัติให้เป็นกิจวัตรประจำวัน นักเรียนแซกโซโฟนควรมีเวลาฝึกอย่างน้อยวันละ 2 ชั่วโมง นักแซกโซโฟนอาชีพควรฝึกอย่างน้อยสม่ำเสมอ ไม่ควรที่จะฝึกวันเดียว 10 ชั่วโมง แล้วหยุดไป 10 วัน ในขณะฝึกเมื่อรู้สึกเหนื่อยควรจะหยุดพัก เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะฝืน เมื่อร่างกายอ่อนเพลียไม่สามารถควบคุมได้ทำให้การเรียนรู้ได้ผลน้อย นอกจากจะทำให้เหนื่อยมากขึ้นแล้วยังทำให้จิตใจเบื่อหน่ายต่อการฝึกอีกทอดหนึ่งพึงระลึกเสมอว่า การฝึกจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อร่างกายและจิตใจสมบูรณ์เมื่อเหนื่อยควรหยุดพัก

ลักษณะนิสัยที่ดีในการฝึก

  • การฝึกที่ดีต้องคำนึงถึงคุณภาพของการฝึกเป็นสำคัญ ระยะเวลาที่ใช้ฝึกควรขึ้นอยู่กับสมาธิใช้เวลาสั้น แต่มีสมาธิฝึกย่อมดีกว่าใช้เวลาอันยาวนาน แต่ไม่มีสมาธิ
  • ฝึกด้วยอัตราจังหวะช้า ถือเป็นหัวใจของการฝึก เพราะการฝึกช้า มีโอกาสแก้ไขข้อบกพร่องสามารถฟังเสียงที่เป่าได้ชัดแม่นยำและสามารถสร้างสมาธิในการฝึกได้ เมื่อฝึกได้ถูกต้องแม่นยำแล้วจึงค่อย เปลี่ยนอัตราจังหวะให้เร็วขึ้น แต่ไม่เร็วจนเกินความสามารถที่จะควบคุมได้
  • ฝึกจุดอ่อน วลีที่ยาก กระสวนจังหวะที่เป่าไม่ถูก การฝึกเป็นการแก้ไขข้อบกพร่องให้ถูกต้องยิ่งขึ้น ไม่ควรเสียเวลาในสิ่งที่เป่าได้อยู่แล้ว ควรสนใจแก้ไขสิ่งที่ทำไม่ถูกหรือเป่าไม่ได้ ควรจริงจังต่อข้อผิดพลาดโดยใช้เวลาพินิจพิจารณาว่า ทำไมถึงเป่าผิด แล้วจะแก้ไขอย่างไร อย่าฝึกอย่างผิด จนเคยชิดต่อความผิดนั้นแล้ว เข้าใจเอาว่าความผิดคือความถูกต้อง
  • ใช้เครื่องเคาะจังหวะและเครื่องตั้งเสียงในการฝึก จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีเครื่องเคาะจังหวะควบคู่กับการฝึกตลอดเวลา เพื่อสร้างความคงที่แม่นยำของจังหวะ ไม่ควรเดาจังหวะด้วยถือว่ารู้แล้ว เพราะจะเป็นสาเหตุของจังหวะไม่คงที่เร็วบ้างช้าบ้างโดยไม่รู้ตัว และในที่สุดจะล้มเหลวต่อการฝึก นอกจากนี้แล้วควรมีเครื่องตั้งเสียงอย่าเพิ่มเชื่อหูตัวเองเกินไป ควรฝึกตั้งเสียงให้เคยชินกับเสียงที่ถูกต้องก่อน
  • กระจก ทุกครั้งที่ฝึกควรมีกระจก เพราะกระจกคือครูที่จะบอกให้เราทราบว่าการวางปาก หรือท่าทางการจับแซกโซโฟนถูกต้องหรือไม่
  • มีทัศนคติที่ดีต่อการฝึก นอกจากสร้างสมาธิในการฝึกแล้วควรสร้างทัศนคติที่ดีต่อการฝึก ฝึกเพื่อดนตรี ไม่ควรฝึกเพราะถูกบังคับ หรือฝึกดนตรีเพื่อสร้างฐานทางสังคม
  • บันทึกเทปทุกครั้งที่ฝึกเพื่อฟัง และแก้ไขข้อบกพร่องในการฝึกครั้งต่อไป
  • ฝึกความจำโดยฝึกวลีเพลงสั้น 10 เที่ยว (ดูโน้ต) แล้วอีก 10 เที่ยว โดยอาศัยความจำเป่า อีก 10 เที่ยว โดยดูโน้ตอีกครั้งหนึ่ง

ฝึกอะไร

     การฝึกทุกครั้งควรจัดเป็นตารางว่า ฝึกอะไรบ้าง นานเท่าใด ไม่ควรฝึกอย่างหนึ่งอย่างใดจนเบื่อต่อการฝึก

ตัวอย่างการแบ่งเวลาในการฝึกระยะ 2 ชั่วโมง (เวลามากน้อยให้เปลี่ยนไปตามอัตราส่วน)

  • เป่าเสียงยาว (20 นาที) เพื่อ  ฝึกสำเนียง
               ฝึกเสียงระรัว
               ฝึกความดังเบาของเสียง
               ฝึกการวางปาก
  •  ฝึกบันไดเสียง (20 นาที)
               บันไดเสียงตั้งแต่ตัวต่ำสุดถึงสูงสุด
               เป่าคู่ 3 ในบันไดเสียง
               เป่าขั้นคู่ ในคอร์ด
               เป่าโดยเปลี่ยนเครื่องหมาย การใช้ลม การใช้ลิ้น
               ควรเปลี่ยนบันไดเสียงทุกครั้งที่เป่า
  • แบบฝึกหัดหรือบทฝึกที่อยู่ในบันไดเสียงเดียวกัน (30 นาที)
  • พัก (5 นาที)
  • ฝึกบทคีตวรรณกรรมสำหรับการบรรเลงเดี่ยว (30 นาที)
  • ฝึกจักษุสัมผัส (Sight Reading) (15 นาที) โดยใช้บทฝึกอะไรก็ได้ที่ไม่เคยผ่านสายตามาก่อน เพื่อฝึกสายตาในการสัมผัสกับโน้ตที่ไม่เคยอ่านมาก่อนโดยเน้นกระสวนจังหวะเป็นหลัก

       เตือนความจำ  ก่อนที่จะลงมือฝึกซ้อมอย่าลืมเอาลิ้นปี่แช่น้ำ หรืออมไว้ในปาก เพื่อที่จะให้ลิ้นปี่อมน้ำคงตัวก่อนที่จะเป่าประมาณ 3 5 นาที ส่วนการเตรียมเครื่องมือควรปฏิบัติดังนี้

  • เอาสายคล้องคอแซกโซโฟนคล้องคอ
  • เอากำพวดต่อติดกับคอแซกโซโฟน
  • เอาคอแซกโซโฟนต่อติดกับลำตัว ขันสกรูที่ข้อต่อไม่ให้หลวมหรือแน่นจนเกินไป
  • เอาแซกโซโฟนคล้องกบสายคล้องคอ
  • เอาลิ้นปี่ที่แช่น้ำไว้แล้วประกอบกับหน้าประกบ โดยให้ใช้ปลายลิ้นปี่เสมอกับปลายปากกำพวด ใช้หัวแม่มือข้างใดข้างหนึ่งกดไว้ แล้วใช้มืออีกข้างสวมข้อรัดลิ้นปี่ ขันสกรูรัดให้พอดี ไม่หลวมหรือไม่แน่นจนเกินไป
  • ปรับระดับสายคล้องคอให้พอดีในการเป่า แต่ไม่ปรับระดับโดยก้มหรือเงยหน้าให้ดูรูปท่าทางในการเป่าประกอบ

ตัวอย่างการฝึกในระยะเวลาสองชั่วโมง

  • เป่าเสียงยาวใช้เวลาประมาณ 20 นาที ในการฝึกแต่ละครั้งควรเปลี่ยนบันไดเสียงสำหรับตัวอย่างนั้นจะใช้บันไดเสียง G เมเจอร์
  • ฝึกเป่าบันไดเสียงใช้เวลาประมาณ 20 นาที
  • เป่าบทฝึกบันไดเสียง G เมเจอร์
  • พักประมาณ 5 นาที
  •  ฝึกบทคีตวรรณกรรมในบันไดเสียง G เมเจอร์

18: ลิ้นแซกโซโฟน

ลิ้นแซกโซโฟน

         ลิ้นแซกโซโฟน หรือลิ้นปี่ มีความสำคัญมากพอสมควร เพราะลิ้นปี่เป็นต้นกำเนิดเสียงของแซกโซโฟน ลิ้นปี่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากกับเสียงทึบเสียงใส เสียงบาง เสียงมีอำนาจ และการใช้ลมมากหรือน้อย แต่การเป่าผิดตัวโน้ต ผิดจังหวะ และการผิดบันไดเสียงนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับลิ้นปี่

         ลิ้นอ่อน ลิ้นแข็ง ลิ้นไม่เสมอ เป็นปัญหาที่นักแซกโซโฟนควรคำนึงถึงอย่างมาก ลิ้นที่ดีจะระรัวเสียงให้มีคุณภาพ ในทำนองเดียวกันลิ้นไม่ดีก็ย่อมระรัวเสียงที่ขาดคุณภาพ

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับลิ้นแซกโซโฟน

         ลิ้นแซกโซโฟนทำขึ้นจากไม้ไผ่ชนิดหนึ่ง ซึ่งปลูกแถบตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศสรอบ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน นิยมกันว่าไม้ไผ่เหล่านั้นสามารถทำลิ้นแซกโซโฟนได้ดีที่สุดและนิยมใช้กันมากที่สุดในปัจจุบัน เชื่อกันว่าอากาศแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเป็นอากาศที่เหมาะสำหรับปลูกไม้ไผ่เพื่อทำลิ้นปี่ นอกจากบริเวณนี้แล้ว บริเวณอื่น ที่นิยมปลูกไม้ไผ่เพื่อทำลิ้นปี่ เช่น ประเทศเม็กซิโก, รัฐแคลิฟอร์เนีย ในประเทศสหรัฐอเมริกา, ประเทศชิลี, ประเทศอิตาลี, ประเทศยูโกสลาเวีย, ประเทศกรีก และประเทศสหภาพโซเวียต

         ไม้ไผ่ที่จะตัดทำลิ้นปี่ควรจะอายุไม่อ่อนหรือไม่แก่จนเกินไป อายุอย่างน้อยประมาณ 2 ปี แต่ไม่ควรเกิน 3 ปี หลังจากได้ตัดไม้ไผ่เหล่านั้นมาตากแดดประมาณ 10 วัน เพื่อทำให้ผิวของไม้ไผ่เปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง หลังจากนั้นเขาจุเก็บไม้ไผ่ไว้ในโรงเก็บอย่างน้อย 1 ปี เพื่อให้ไม่ไผ่แห้งสนิทแล้วจึงนำมาทำเป็นลิ้นปี่ตามต้องการ

ลักษณะของลิ้นแซกโซโฟน

      ลิ้นแซกโซโฟนที่ขายตามท้องตลาดทั่วไปมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ

  • ลักษณะของลิ้นที่มีเนินกลางเป็นรูปตัววี (V) นิยมเรียกกันว่า แบบเยอรมัน
  • ลักษณะของลิ้นที่มีเนินกลางเป็นรูปตัวยู (U) นิยมเรียกกันว่า แบบฝรั่งเศส ลิ้นประเภทนี้ได้รับความนิยมมากกว่าประเภทแรก

         ลักษณะของลิ้นที่มีเนินกลางเป็นรูปตัวยู (U) ได้รับความนิยมกันมากกว่าลิ้นที่มีเนินกลางเป็นรูปตัววี (V) ในปัจจุบัน

การเลือกลิ้นปี่

         ในการเลือกลิ้นเพื่อให้ได้ลิ้นที่ดี อย่างน้อยที่สุดก็ควรจะรู้จักส่วนประกอบของลิ้นเพื่อช่วยในการเลือก

ส่วนประกอบของลิ้นปี่

         ถ้ามีโอกาสหรือมีเงินพอที่จะซื้อเป็นกล่องได้ ก็ควรจะเลือกยี่ห้อลิ้นปี่ที่มีมาตรฐานเชื่อถือได้ว่าใน 1 กล่องมีลิ้นปี่ที่มีคุณภาพเกินครึ่ง

         ถ้าจะต้องซื้อปลีกก็ควรจะซื้อจากร้านที่เปิดโอกาสให้เลือกลิ้นปี่ได้ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วการเลือกลิ้นปี่ต้องอาศัยสายตาและความรู้เป็นหลัก ทางร้านคงไม่ยอมให้เลือกลิ้นปี่โดยการลดลองเป่าเป็นแน่

         ก่อนที่จะซื้อลิ้นปี่ก็ควรจะรู้ว่ากำพวดที่ใช้อยู่เหมาะสมกับลิ้นปี่เบอร์อะไร

ความสัมพันธ์ระหว่างความกว้างของปากกำพวดกับความอ่อนแข็งของลิ้นปี่

         ลิ้นอ่อนจะมีความระรัวของปลายลิ้นมากเหมาะสำหรับกำพวดที่ปากเปิดกว้าง ส่วนลิ้นแข็งจะมีความระรัวของปลายลิ้นน้อยเหมาะสำหรับกำพวดที่ปากแคบ

ข้อเสนอแนะในการเลือกลิ้น

  •  ท่อนบนของลิ้นควรจะยาวกว่าท่อนล่าง
  •  สีของท่อนล่างควรจะเป็นสีเหลืองทอง เพราะแสดงว้าไม้ไผ่ไม่อ่อนและไม่แก่เกินไป ไม่ควรเลือกลิ้นปี่ที่มีสีน้ำตาล ส่วนท่อนบนควรเป็นสีขาวหรือสีครีม
  •  เส้นลายไม้ไผ่ท่อนบนของลิ้นควรเป็นเส้นตรง และมีความขนานตลอดแนว ไม่ควรเลือกลิ้นที่มีลายเส้นหนักด้านใดด้านหนึ่ง เพราะเป็นเหตุให้ความหนาบางของลิ้นไม่เท่ากัน คลื่นระรัวของลิ้นแต่ละข้างย่อมไม่เท่ากันด้วย
  •  ส่องลิ้นกับแสงสว่างเพื่อดูรอยโค้งท่อนปลายลิ้นว่าเป็นรูปตัวยู (U) หรือรูปตัววี (V)

การปรับลิ้นปี่

          บางครั้งลิ้นที่ใช้มีคุณสมบัติไม่ตรงตามความต้องการ แข็งเกินไป อ่อนเกินไป เพราะใช้นาน หรือไม่สมดุลกับด้านใดด้านหนึ่งเป็นเหตุให้ลิ้นปี่ระรัวไม่เสมอกัน

ลิ้นอ่อน

      ลักษณะของลิ้นอ่อน

  • ต้องวางปากอย่างหลวมถึงจะเป่าออกเสียงได้
  • ใช้ลมจำนวนน้อยในการเป่า
  • ไม่สามารถเป่าเสียงสูงได้
  • เสียงที่ออกมาจะได้ยินการระรัวของลิ้นปี่ผสมกับเสียงแซกโซโฟนรวมอยู่ด้วย

         การปรับลิ้นอ่อน ทางที่ดีที่สุดคือ การตัดปลายลิ้นปี่โดยใช้เครื่องตัด การตัดลิ้นปี่นั้นควรตัดด้วยความระมัดระวัง พยายามให้ลิ้นอยู่ตรงกลางของเครื่องตัดพอดี แต่ละครั้งที่ตัดควรตัดประมาณขนาดของเส้นปากกาเป็นอย่างมาก เมื่อตัดเสร็จควรใช้กระดาษทรายที่ละเอียดที่สุด ฝนรอยตัดให้เรียบ เพราะรอยตัดที่ไม่เรียบอาจเป็นอันตรายบาดริมฝีปากหรือบาดลิ้นได้ง่าย

เครื่องตัดลิ้นปี่

          ถ้าหากว่าลิ้นปี่อ่อนตัวในระหว่างการบรรเลง ไม่มีเวลาพอที่จะตัดปลายลิ้นปี่ได้ สิ่งที่พอจะแก้ปัญหาได้ชั่วคราวคือ ปรับลิ้นปี่ให้สูงกว่าปลายปากกำพวดหน่อยหนึ่ง

ลิ้นแข็ง

      ลักษณะของลิ้นแข็ง

  • ต้องรัดกล้ามเนื้อบริเวณริมฝีปากแน่นจึงจะเป่าออก
  • ใช้ลมจำนวนมากในการเป่า
  • เป่าออกเสียงยากโดยเฉพาะเสียงต่ำ และยากต่อการควบคุมการเป่าเสียงเบา
  • เสียงที่ออกมาเหมือนมีเสียงลมผสมอยู่ และสำเนียงจะเพี้ยนสูง

         การปรับลิ้นแข็งให้อ่อนลงนั้นต้องใช้มีดคมหรือกระดาษทรายละเอียดขูดด้วยความประณีตและสม่ำเสมอ การขูดลิ้นปี่ต้องขูดออกทีละนิดแล้วตรวจความสมดุลของลิ้นด้วยการส่องกับแสงสว่าง โดยให้ลิ้นปี่อยู่ระหว่างสายตากับแสงสว่าง ความหนาบางทั้งสองข้างของลิ้นต้องเท่ากัน หลังจากขูดออกทุกครั้งควรทดลองเป่าดูเพื่อไม่ให้ขูดจนลิ้นอ่อนเกินไป

         การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าสำหรับลิ้นแข็งในกรณีที่ไม่มีโอกาสหรือเวลาสำหรับขูดลิ้นปี่ อาจจะแก้ปัญหาชั่วคราวคือ ปรับให้ปลายลิ้นปี่ต่ำกว่าระดับของปลายปากกำพวด

17: กำพวดแซกโซโฟน

กำพวดแซกโซโฟน

          กำพวดหรือที่รู้จักและเรียกกันโดยทั่วไปว่า หัวแซกโซโฟน โดยทั่วไปปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นกับกำพวด เช่น กำพวดไม่เหมาะกับปาก เสียงทึบ หรือเสียงใสเกินไป สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ควรคำนึงภายหลังที่ได้เรียนรู้พื้นฐานการเป่าแซกโซโฟนแล้ว สำหรับผู้ฝึกใหม่ไม่จำเป็นที่จะเสาะแสวงหากำพวดใหม่ ในขณะที่ยังไม่ได้เรียนรู้ขั้นพื้นฐานก่อน จนกระทั่งให้รู้แน่นอนว่ากำพวดเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณภาพเสียงไม่ดีแล้วจึงค่อยเปลี่ยน อย่าเปลี่ยนกำพวดโดยไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร นอกจากจะสิ้นเปลืองเงินแล้วยังสิ้นเปลืองเวลาโดยใช่เหตุ โดยปกติแล้วกำพวดที่ติดมากับแซกโซโฟนที่ซื้อใหม่จะเป็นกำพวดขนาดกลางเหมาะสำหรับผู้ฝึกใหม่

         ด้วยเหตุผลหลาย ประการที่ทำให้นักแซกโซโฟนเลือกกำพวดที่แตกต่างกัน เช่น ลักษณะของกล้ามเนื้อบริเวณปาก โครงสร้างของกระดูกคาง ความหนาบางของริมฝีปาก นอกจากนี้แล้วยังคำนึงถึงว่า ประเภทของเพลงที่เป่าเป็นอย่างไร เป่าเดี่ยว เป่าประสาน เป่าเพลงคลาสสิก หรือเป่าเพลงแจ๊ส สิ่งเหล่านี้มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดในการเลือกใช้กำพวดให้เหมาะสมประกอบกับความพอใจของผู้เป่าว่าชอบเสียงอย่างไรด้วย

วัสดุที่ใช้ทำกำพวด

          กำพวดที่ใช้กันทุกวันนี้ทำด้วยไม้เนื้อแข็งสีดำ แก้ว เหล็ก พลาสติก วัสดุที่ใช้แต่ละชนิดมีคุณสมบัติแตกต่างกันดังนี้

         กำพวดที่ทำด้วยไม้เนื้อแข็ง ส่วนมากจะเอาแก่นของไม้เนื้อแข็งมาทำ ถ้าได้รับการรักษาอย่างดีก็สามารถใช้ได้หลายปี แต่มีข้อเสียคือ แตกได้ง่าย

         กำพวดที่ทำด้วยเหล็ก กำพวดเหล็กมักฒีขนาดเล็กกว่ากำพวดที่ทำด้วยวัสดุอย่างอื่น เหมาะสำหรับเทนเนอร์ หรือบาริโทน หรือคนที่ชอบขนาดของกำพวดเล็ก

         กำพวดที่ทำด้วยแก้วเป็นที่นิยมใช้โดยทั่วไป เพราะราคาถูกไม่แตกเหมือนเมื่อก่อน

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับกำพวด

  • ส่วนประกอบของกำพวด
         แคมทั้งสองข้างต้องอยู่ในลักษณะที่เท่ากัน หน้าประกบระหว่างลิ้นปี่และกำพวดต้องเรียบเสมอตลอดแนว เมื่อลิ้นปี่ประกบกับกำพวดจะต้องไม่มีรอยลมรั่วออกข้าง ความลึกของเพดานกำพวดทำให้เสียงมีความใส และความตื้นของเพดานกำพวดทำให้เสียงทึบ
  •  ปากกำพวด
       หน้าสั้น ปลายปากกำพวดกับลิ้นปี่จะกว้าง ลิ้นปี่ที่ใช้ควรเป็นลิ้นปี่ที่อ่อน เพราะสามารถระรัวในระยะที่กว้างได้ เสียงที่ออกมาจะเป็นเสียงที่ใสเหมาะสำหรับเป่าเพลงแจ๊ส
       หน้ากลาง  ปลายกำพวดกับลิ้นปี่จะห่างกันปานกลาง ลิ้นปี่ที่ใช้ควรเป็นลิ้นที่มีความอ่อน แข็งปานกลาง เสียงที่ออกมาจะไม่ใสและไม่ทึบจนเกินไปเหมาะสำหรับเป่าเพลงคลาสสิก
       หน้ายาว    ปลายปากกำพวดกับปลายลิ้นปี่จะแคบ ลิ้นปี่ที่ใช้ควรเป็นลิ้นที่แข็ง เพราะมีระยะแคบในการระรัวเสียงที่ออกมาจะทึบหนักแน่น
         สำหรับผู้ฝึกใหม่ขอแนะนำให้ใช้กำพวดขนาดกลางก่อน

สิ่งที่ควรพิจารณา

         ผู้เริ่มเรียน และผู้ที่นิยมเป่าเพลงคลาสสิกควรใช้กำพวดแคบปานกลาง สำหรับผู้ที่นิยมเพลงแจ็สควรใช้กำพวดที่กว้างมากขึ้นกว่าปานกลางเล็กน้อย

16: ศิลปะการเป่าแซกโซโฟน

ศิลปะการเป่าแซกโซโฟน

         เมื่อพูดถึงศิลปะการเป่าแซกโซโฟน แน่นอนที่สุดผู้เป่าต้องได้เรียนรู้ขั้นพื้นฐานอย่างดีแล้วซึ่งหมายรวมถึง การหายใจ การวางปาก ในบทต้น ส่วนในบทนี้จะกล่าวถึงศิลปะที่สูงขึ้นในการเป่าแซกโซโฟน 

ทำอย่างไรจึงจะเป่าเก่ง ทำอย่างไรจึงจะพัฒนาไปสู่ความเก่งที่นักแซกโซโฟนทุกคนปรารถนา

การเป่าเก่งหรือจะพัฒนาไปสู่ความเก่งประกอบด้วยปัจจัย ดังนี้

  •  การวางนิ้ว
         การวางนิ้วในการเป่าแซกโซโฟนควรเป็นไปตามธรรมชาติที่สุด ลดขึ้นแล้วปล่อยมือลงข้าง อย่างธรรมชาติ ลักษณะของมือและนิ้วที่วางบนแป้นนิ้วแซกโซโฟน จะมีลักษณะเหมือนลักษณะของมือและนิ้ว ขณะยืนปล่อยมือลงข้าง คือมีความโค้งเป็นธรรมชาติ น้ำหนักของจะไม่อยู่บนมือขวา แต่จะอยู่บนสายคล้องคอ
         นิ้วทุกนิ้ววางอยู่บนแป้นนิ้วไม่เกร็ง การกดแป้นนิ้วในขณะที่เป่าเป็นไปตามธรรมชาติคือ ไม่กระแทก เมื่อปล่อยแป้นนิ้ว นิ้วจะไม่กระเด้งห่างออกจากแป้นนิ้วพยายามให้นิ้วติดอยู่กับแป้นนิ้วตลอดเวลา
  •  การฝึกความเร็วของนิ้ว
       ศิลปะของการใช้นิ้ว
         ระยะเวลาของตัวหยุด เมื่อจะเป่าให้นึกถึงเสียงที่จะเป่าก่อน ในขณะเดียวกันให้เปลี่ยนนิ้วไปยังเสียงที่จะเป่า ฝึกในทำนองเดียวกันนี้ตลอดทั้งบทฝึกในทุกบันไดเสียง พยายามฝึกอย่างช้า เพื่อสร้างสมาธิของนิ้วให้อยู่กับแป้นนิ้ว
         การพัฒนาความเร็วของนิ้ว ต้องฝึกอย่างสม่ำเสมอจนเป็นกิจวัตร สิ่งที่ควรระมัดระวังคือ ไม่ควรเป่าให้เร็วเกินความสามารถที่จะควบคุมจังหวะ สำเนียงและความชัดเจนของเสียงได้การฝึกผิด จนติดเป็นนิสัย เป็นปัญหาที่ยากต่อการแก้ไข การฝึกอย่างเร็วนั้นควรเป็นความเร็วที่สามารถควบคุมได้ ทั้งจังหวะ สำเนียง และความชัดเจนในกรณีที่ไม่สามารถจะเป่าตรงที่ยาก ได้นั้น ควรจะลดความเร็วลงมา อุปกรณ์ที่ช่วยได้อีกอย่างคือ ดินสอดำ สำหรับทำเครื่องหมายในโน้ตเพลง เพื่อเตือนความจำว่าตรงที่เราผิดเราได้แก้ไขให้ดีขึ้นแล้วหรือยัง

แบบฝึกหัดการฝึกความเร็วของนิ้ว

        ฝึกทุกบันไดเสียง ทั้งเมเจอร์และไมเนอร์ โดยฝึกตั้งแต่ตัวโน้ตที่ต่ำที่สุดไปจนถึงโน้ตที่สูงที่สุด ในแต่ละบันไดเสียง
ฝึกเป่าบันไดเสียงคู่ 3 ในทุก บันไดเสียง ดังตัวอย่าง
        ฝึกเป่าขั้นคู่เสียง ในแต่ละคอร์ดทุกบันไดเสียง

  •   นิ้วแทน
         ความคล่องตัวในการใช้นิ้วเป็นเรื่องของทักษะที่เกิดจากการฝึกหัด วลีเพลงบางวลีมีความไม่คล่องตัวอย่างมากสำหรับการใช้นิ้วแท้ในการเป่าให้ได้เสียงที่ต้องการ นิ้วแทนช่วยแก้ปัญหาให้การใช้นิ้วได้คล่องตัวขึ้นในวลีเพลงเหล่านั้น นิ้วแทนบางนิ้วเสียงอาจจะเพี้ยนสูง หรือต่ำไปจากเสียงเดิม แต่ก็พอจะอนุโลมได้สำหรับวลีเพลงที่เร็ว ส่วนวลีเพลงที่ช้าควรใช้นิ้วแท้ไม่ควรใช้นิ้วแทนโดยไม่จำเป็น
         นักแซกโซโฟนจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้จักนิ้วแทนทุกนิ้ว แล้วฝึกจนสามารถนำมาใช้ได้ทันที เมื่อเห็นวลีเพลงที่จำเป็นจะต้องใช้นิ้วแทนโดยที่ไม่ต้องเสียเวลาคิดว่าควรใช้นิ้วอย่างไร ฉะนั้นนิ้วแทนจึงเป็นเสมือนวิทยายุทธสำหรับนักแซกโซโฟน
 
       ตัวอย่างวลีเพลงที่ใช้นิ้วแทน
         F# นิ้วแทนควรจะใช้เมื่อวลีเพลงอยู่ในลักษณะบันไดเสียงโครมาติก คือ การไล่เสียงกันแบบครึ่งเสียง
         B Flat นิ้วแทน B Flat นิ้วแทนมีให้เลือกใช้ได้ถึง 4 นิ้ว แต่ละนิ้วที่จะใช้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมกับวลีเพลง
  •  การใช้นิ้วลมและการใช้ลิ้น (Slur and Tonguing)
         เสียงของแซกโซโฟนที่ถูกเป่าออกมาประกอบด้วยอาการ 2 ลักษณะคือ การใช้ลมและการใช้ลิ้น นักแซกโซโฟนจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้ว่าเมื่อไรใช้ลมและเมื่อไรใช้ลิ้นในการเป่า ความวิจิตรพิสดารของเสียงในคีตวรรณกรรมแต่ละบทถูกประพันธ์ขึ้นโดยอาศัย การใช้ลมและการใช้ลิ้นในการเป่า เพื่อให้เป็นแนวทำนองที่น่าสนใจยิ่งขึ้นเป็นหลักเบื้องต้น
 
 การใช้ลม
         เป็นลักษณะของเสียงที่เป่าออกมา มีความติดต่อกันไม่ขาดระยะโดยใช้ลมเดียวกัน ตัวโน้ตที่เขียนจะมีเครื่องหมายการใช้ลมในลักษณะเส้นโค้งกำกับอยู่
        ตัวโน้ตตัวแรกจะใช้ลิ้นเพียงตัวเดียว ส่วนตัวโน้ตที่ตามมาจะใช้ลมตลอดติดต่อกัน อาการของอวัยวะภายในปากจะอยู่กับที่ในขณะกระแสลมผ่านเข้าสู่กำพวด
 

การใช้ลิ้น
         เป็นลักษณะของเสียงที่เป่าออกมาถูกแยกเสียงแต่ละเสียงออกจากกันโดยใช้ลิ้น ตัวโน้ตที่เขียนจะไม่มีเส้นโค้งกำกับอยู่
         ถ้าต้องการให้เสียงมีช่องว่างระหว่างเสียงหรือมีเสียงสั้นมากยิ่งขึ้น ตัวโน้ตจะถูกประจุไว้ที่หัวเป็นเครื่องหมายแต่ค่าของตัวโน้ตยังคงเดิม
       หมายเหตุ  ตัวโน้ตทุกตัวถึงแม้จะมีเสียงสั้น แต่ยังมีสิทธิที่จะต้องเป่าอย่างมีคุณภาพ
 
       อาการของลิ้นขณะเป่า
         โดยกระดิกปลายลิ้นไปแตะด้านล่างของลิ้นแซกโซโฟน แล้วตวัดลิ้นกลับที่เดิม ในขณะเดียวกันกระแสลมที่เป่ายังพุ่งอยู่อย่างเดิมมิได้เปลี่ยนแปลง
 
       การฝึกลิ้นเพื่อใช้ในการเป่า
         ให้พูดคำว่า ที หรือ ทา อาการของลิ้นในขณะเป่าจะอยู่ในลักษณะเดียวกันเมื่อพูด ดู หรือ ทู ตั้งเครื่องเคาะจังหวะในอัตรา 60 เคาะต่อหนึ่งนาที
 
ข้อควรระวัง
         พยายามฝึกด้วยอัตราจังหวะที่สามารถควบคุมได้ รวมทั้งค่าของตัวโน้ตทุกตัวต้องแน่ใจว่าเท่ากัน สำเนียงถูกต้อง การใช้นิ้วไม่เกร็งหรือไม่กระดกห่างจนเกินไป กระแสลมที่เป่ามีความสม่ำเสมอ

  • เครื่องหมายและการถ่ายทอดความรู้สึกในเพลง
         การเป่าตัวโน้ตและเครื่องหมายได้ถูกต้อง มิได้หมายความว่าเป็นการบรรเลงดนตรี นักเป่าก็คือนักเป่าไม่ใช่นักดนตรี เพราะนักเป่านั้นเพียงเป่าให้เป็นเสียง ส่วนคำว่านักดนตรีนั้นเป็นผู้บรรเลงดนตรีทำเสียงให้เป็นดนตรี การถ่ายทอดอารมณ์เพลงจากตัวโน้ตเป็นดนตรีนั่นแหละคือ วิญญาณศิลปิน
         การบรรเลงดนตรีเป็นการถ่ายทอดภาษาของความรู้สึกที่มีต่อเพลง การที่จะถ่ายทอดอารมณ์หรือเข้าถึงอารมณ์ของเพลง ก็ต้องศึกษาองค์ประกอบของดนตรีเสียก่อน เช่น ตัวโน้ต แนวทำนอง แนวประสาน ลักษณะของเสียง เป็นต้น เมื่อเข้าใจองค์ประกอบแล้วถึงจะเข้าใจอารมณ์เพลงของตัวโน้ต เครื่องหมายต่าง ไม่ใช่ดนตรี สิ่งเหล่านี้เป็นแต่เพียงองค์ประกอบเท่านั้นที่จะเชื่อมโยงไปสู่ความเป็นดนตรี ความเป็นดนตรีจึงอยู่เหนือเครื่องหมายหรืออยู่เหนือตัวโน้ตนั่นเอง
         ควรระลึกอยู่เสมอว่า ตัวโน้ตทุกตัวที่เป่าเป็นการเป่าดนตรี ซึ่งมีการถ่ายทอดทางอารมณ์ไม่ได้เป่าตัวโน้ต ความเป็นดนตรีของเสียงที่เป่าออกมา ต้องมีความหมายทางอารมณ์ ทำไมเสียงแตรรถไม่เป็นเสียงดนตรี ทำไมเสียงนกหวีดไม่เป็นเสียงดนตรี เพราะเสียงแตรรถ เสียงนกหวีดเป็นแต่เพียงเสียง ไม่ได้ถ่ายทอดอารมณ์ในแง่ดนตรี
  • การจากไปของเสียงที่เป่า

       การจากไปของเสียงที่เป่าหรือการหยุดเสียง มีอยู่ 4 ลักษณะด้วยกัน

         1. หยุดโดยการเบาเสียง โดยค่อย เบาเสียงลงทีละน้อย จนหายไปในที่สุด

         2. หยุดโดยการเบาเสียงเหมือนกันแต่เบาแล้วหยุดลมที่เป่า

         3. หยุดลมที่เป่าแต่ไม่ต้องเบาเสียง

         4. หยุดโดยทันทีทันใดโดยการใช้ลิ้นหยุด